มารู้จักกับโรคเบาหวานกันเถอะ
อ้วนมากเสี่ยงเบาหวานจริงหรือ?
ผอมอยู่แล้ว กินไปเถอะ ไม่ต้องกลัวเบาหวานถามหาหรอก!!!
เบาหวานเป็นโรคติดต่อทางพันธุกรรมหรือไม่?
เบาหวาน คือ ภาวะที่ร่างกายมีระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือดสูงกว่าปกติ เนื่องจากขาดฮอร์โมน “อินซูลิน” หรือมีฮอร์โมน “อินซูลิน” ในร่างกายน้อย ทำให้ร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลในเลือดไปใช้ได้ตามปกติ
การรับประทานอาหารปกติ เมื่อร่างกายย่อยและดูดซึมสารอาหาร อินซูลินจะนำน้ำตาลกลูโคสไปยังเซลล์ การพร่องอินซูลิน ร่างกายจะไม่สามารถนำพลังงานจากน้ำตาลกลูโคสมาใช้ได้ จึงดึงไขมันและกล้ามเนื้อมาใช้แทน ทำให้น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว ภายในระยะเวลาอันสั้น น้ำตาลที่ไม่ได้นำมาใช้จึงล้นอยู่ในเลือด กลายเป็นน้ำหวาน หรือน้ำเชื่อม (มดจึงมักมาตอมปัสสาวะของผู้ป่วยโรคเบาหวาน)
อินซูลิน คืออะไร ดีอย่างไร และนำน้ำตาลในเลือดไปใช้ได้อย่างไร
อินซูลิน (Insulin) เป็นฮอร์โมนที่ถูกผลิตขึ้นในตับอ่อน
มีหน้าที่ควบคุมการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรต
โดยนำน้ำตาลในเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกาย เพื่อสร้างเป็นพลังงาน และสร้างเซลล์ ดังนั้นเมื่อร่างกายขาด “อินซูลิน” จะส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูง หรือเป็น “โรคเบาหวาน” นั่นเอง
โรคเบาหวาน แบ่งชนิดใหญ่ๆ ได้ 2 ชนิด คือ
โรคเบาหวานชนิดที่ 1 ชนิดพึ่งพาอินซูลิน
ร่างกายไม่สามารถผลิตอินซูลินได้เลย หรือผลิตได้น้อยมาก มักตรวจพบตั้งแต่วัยเด็กหรือเริ่มก้าวเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ ผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดนี้ ต้องได้รับการรักษาโดยการฉีดฮอร์โมนอินซูลิน
ทำไมต้อง “ฉีด” อินซูลิน
เพราะน้ำย่อยในระบบทางเดินอาหารสามารถทำลายฮอร์โมนอินซูลินได้ หากรับประทานฮอร์โมนเข้าไป จึงต้องใช้วิธีฉีดเข้าร่างกายโดยตรง โดยมักจะฉีดใต้ผิวหนัง บริเวณหน้าท้อง ขาหน้าทั้ง 2 ข้าง สะโพก หรือต้นแขนทั้ง 2 ข้าง โดยต้องอยู่ภายใต้คำแนะนำจากแพทย์
โรคเบาหวานชนิดที่ 2 ไม่ต้องพึ่งพาอินซูลิน
โรคเบาหวานชนิดนี้เกิดจากกรรมพันธุ์ ความอ้วน (โดยเฉพาะผู้ที่อ้วนลงพุง) พฤติกรรมการกิน และสาเหตุอื่นๆ
ตับอ่อนยังคงผลิต “ฮอร์โมนอินซูลิน” เองได้ แต่ผลิตได้ในปริมาณน้อย อินซูลินที่ผลิตออกมาจึงไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ ทางการแพทย์เรียกว่า “ภาวะดื้ออินซูลิน” ซึ่งผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดนี้มีจำนวนสูงถึง 95% ของผู้ป่วยโรคเบาหวานในประเทศไทย และยังพบผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดนี้มากที่สุดทั่วโลก
“ดื่มน้ำมาก เหนื่อยง่าย
อ่อนเพลีย ปัสสาวะบ่อย“
รู้ได้อย่างไรว่าเป็นโรคเบาหวาน
ลองสำรวจตัวเองดูว่า มีการหิวบ่อย รับประทานจุ แต่นำหนักลดลงมากในเวลาอันสั้นหรือไม่ หรือมีการคอแห้ง หิวน้ำบ่อย ปัสสาวะบ่อย อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ตาพร่ามัว มีอาการชาบริเวณปลายมือและปลายเท้าหรือไม่ สำหรับผู้หญิงที่ป่วยเป็นโรคเบาหวาน อาจมีการติดเชื้อราบริเวณช่องคลอด จึงทำให้เกิดอาการคันบริเวณช่องคลอดหรือขาหนีบได้
เบาหวานไม่สามารถรักษาให้หายได้ แต่สามารถควบคุมได้ โดยการรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้ใกล้เคียงกับคนทั่วไป หากเข้ารับการตรวจเลือด (งดอาหารอย่างน้อย 8 ชั่วโมง) ควรมีระดับน้ำตาลประมาณ 70-110 มิลลิกรัม/เดซิลิตร ซึ่งการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้ใกล้เคียงคนทั่วไปมีความสำคัญอย่างมากที่จะช่วยลดความรุนแรงของโรคแทรกซ้อน
โรคแทรกซ้อน
โรคแทรกซ้อนเฉียบพลัน
หากมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงมาก อาจมีการติดเชื้อแทรกซึ่งจะทำให้อาการของเบาหวานรุนแรงขึ้น ผู้ป่วยอาจซึมจนหมดสติ บางรายหากมีภาวะเลือดเป็นกรดร่วมด้วย จะหายใจหอบ หรือบางรายมีอาการชักกระตุกเฉพาะที่
โรคแทรกซ้อนเรื้อรัง
โรคแทรกซ้อนเรื้อรังในผู้ป่วยโรคเบาหวาน มีความสัมพันธ์กับระยะเวลาที่เป็นโรค และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการควบคุมระดับน้ำตาล หากเป็นโรคเบาหวานมานานหรือควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ไม่ดี ยิ่งเพิ่มโอกาสการเกิดโรคแทรกซ้อนได้มากยิ่งขึ้น
โรคแทรกซ้อนเรื้อรังจากหลอดเลือดใหญ่
เกิดจากการตีบของหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดเกิดการอุดตันได้ง่าย นำมาสู่อาการตามหลอดเลือดที่ผิดปกติ เช่น
- โรคหัวใจขาดเลือดและกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน
- อัมพฤกษ์และอัมพาตจากลอดเลือดสมองอุดตัน
- โรคความดันโลหิตสูง
- หลอดเลือดที่ขาตีบตัน ทำให้ปวดน่องเวลาเดินนานๆ หรือเกิดบาดแผลจากการขาดเลือด
โรคแทรกซ้อนเรื้อรังจากหลอดเลือดฝอย
- โรคแทรกซ้อนทางตา เช่น อาการตามัว และ อาการเบาหวานขึ้นตา (Retinopathy)
- โรคแทรกซ้อนทางไต ทำให้ไตเสื่อม ไตวาย
โรคแทรกซ้อนทางระบบประสาท คือ มีอาการชาตามมือเท้า และอาจมีอาการปวดร่วมด้วย
แม้ผู้ป่วยโรคเบาหวานจะไม่มีอาการอะไรในระยะแรก
แต่หากได้รับการตรวจวินิจฉัยและรักษาทันเวลา
รวมถึงดูแลตัวเองให้ดีตั้งแต่ครั้งแรก
จะช่วยชะลอหรือป้องกันการเกิดโรคแทรกซ้อนได้
ผู้ที่มีความเสี่ยงที่ควรได้รับการตรวจหาโรคเบาหวาน
- ผู้ที่มีอาการของโรคเบาหวาน
- ผู้ที่มีอายุเกิน 40 ปี (ควรตรวจซ้ำทุกๆ 3 ปี)
- ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวาน เช่น
1.ผู้ที่มีพ่อ-แม่ พี่น้อง ที่เป็นโรคเบาหวาน
2.ผู้ที่มีน้ำหนักตัวมาก โยมาดัชนีมวลกายมากกว่า 25 กิโลกรัม ต่อ ตารางฟุต
3.ผู้ที่มีความดันโลหิตสูงมากกว่า 140/90 มิลลิเมตรปรอท
4.ผู้ที่มีระดับไขมัน HDL ต่ำกว่า 35 มก./ดล. และระดับไขมันไตรกลีเซอไรด์มากกว่า 250 มก./ดล. ในเลือด
5.ผู้หญิงที่คลอดบุตรที่มีน้ำหนักเกิน 4 กก. หรือเคยเป็นเบาหวาน
ขณะตั้งครรภ์ หรือ ผู้ที่มีประวัติ “ความทนต่อกลูโคส” ผิดปกติ
- ผู้ที่ออกกำลังน้อย
- ผู้ที่มีโรคหลอดเลือด
- ผู้ที่มีความสัมพันธ์กับภาวะดื้ออินซูลิน (Polycystic Ovarian Syndrome, Acanthosis Nigricans)
กินอย่างไร ไกลเบาหวาน
- กินอาหารครบ 5 หมู่ และหลากหลายตามธงโภชนาการ
- หลีกเลี่ยงอาหารมันๆ หวานๆ และอาหารที่มีรสเค็ม
- หลีกเลี่ยงขนมหวานทุกชนิดที่มีส่วนประกอบมาจากไขมันทรานส์ เช่น เนยสด มาการีน หรือปรุงจากแป้ง น้ำตาล ไข่ กะทิ เช่น เค้ก คุกกี้ ทองหยิบ ทองหยอด ขนมชั้น
- หลีกเลี่ยงอาหารทอด อาหารมัน เช่น ปาท่องโก๋ แกงกะทิ กล้วยทอด หนังไก่ทอด มันฝรั่งทอด
- หลีกเลี่ยงน้ำอัดลม น้ำหวาน นมปรุงแต่งรสต่างๆ น้ำผลไม้ผสมน้ำตาล เครื่องดื่มชูกำลัง เครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- หลีกเลี่ยงผลไม้รสหวานจัด เช่น เงาะ ลำไย ทุเรียน มะม่วงสุก และผลไม้เชื่อม กวน ดอง แช่อิ่ม ตากแห้ง อบน้ำผึ้ง รวมถึงผลไม้กระป๋อง
- หลีกเลี่ยงอาหารหมัก หรือดอง อาหารตากแห้ง อาหารสำเร็จรูปที่บรรจุกระป๋องหรือถุง
อาหารที่ผู้ป่วยหรือกลุ่มเสี่ยงสามารถทานได้แต่ต้องจำกัดปริมาณ
- กลุ่มนม ควรทาน นมรสจืด นมพร่องมันเนย นมขาดมันเนย นมถั่วเหลือง สูตรไม่มีน้ำตาล โดยควรดื่มในปริมาณที่เหมาะสมคือ 1-2 แก้ว/วัน (ปริมาณ 250 ซี ซี)
- กลุ่มข้าว แป้ง และธัญพืช ควรทาน ข้าวกล้อง ธัญพืชแบบไม่ขัดสี หรือขนมปังโฮลวีท โดยควรทานในปริมาณที่เหมาะสม 8-9 ทัพพี/วัน
- กลุ่มเนื้อสัตว์ชนิดต่างๆ ควรทาน เนื้อปลา หรือเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ไม่ติดหนัง ควรทานไข่ โดยเฉพาะไข่ขาว ใน ปริมาณที่เหมาะสม 12 ช้อนทานข้าว/วัน (ไข่ทั้งฟอง สามารถทานได้ สำหรับผู้มีโคเลสเตอรอลในเลือดไม่สูงมาก โดยสามารถทานได้ 2-3 ฟอง/วัน)
- กลุ่มผลไม้ ควรทานผลไม้สด รสไม่หวานจัด เช่น ฝรั่ง มะละกอ แอปเปิ้ลเขียว ส้มเขียวหวาน ส้มโอ ชมพู่ เป็นต้น โดยทานในปริมาณที่เหมาะสม 3-4 ส่วน/วัน (1 ส่วนผลไม้ เท่ากับ 6-8 ชิ้นคำ)
- กลุ่มไขมัน ควรทาน น้ำมันรำข้าว น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด หลีกเลี่ยง น้ำมันจากสัตว์ น้ำมันปาล์ม น้ำมันมะพร้าว กะทิ ครีมเทียม และควรทานปริมาณในที่เหมาะสมไม่เกิน 6-7 ช้อนชา/วัน
- กลุ่มน้ำตาล เกลือ เครื่องปรุงรส ควรทาน โดยหลีกเลี่ยงการเติมน้ำตาล เกลือ และเครื่องปรุงรสมากเกินความจำเป็น สำหรับผู้ที่ติดหวานอาจใช้น้ำตาลเทียมให้ความหวานแทนน้ำตาลทรายได้
อาหารที่สามารถทานได้ โดยไม่จำกัดปริมาณ
กลุ่มพืช ผัก ชนิดต่างๆ สามารถรับประทานได้อย่างไม่จำกัดปริมาณ เนื่องจากผัก ให้สารอาหารประเภทแป้ง และน้ำตาลต่ำ แต่มีเส้นใยสูง ช่วยขัดขวางการดูดซึมน้ำตาลและไขมัน โดยควรรับประทานผักใบเขียวชนิดต่างๆ เช่น ผักบุ้ง ผักคะน้า ผักตระกูลผักกาด แตงกวา กะหล่ำปลี มะระ มะเขือยาว มะเขือเทศ พืชผักตระกูลถั่ว เป็นต้น ในปริมาณที่เหมาะสม 4-6 ทัพพี/วัน
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โรงพยาบาลธนบุรี โทร 1645